22.00 น. คณะเดินทางพร้อมกัน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ อาคารผู้โดยสารขาออก ประตูที่ 9 เคาน์เตอร์ T โดยสายการบินเอมิเรตส์ ( EK ) โดยมีเจ้าหน้าที่ของบริษัทฯ คอยให้การต้อนรับและอำนวยความสะดวกเรื่องเอกสารและสัมภาระ
01.35 น. เหินฟ้าสู่ ดูไบ (DXB) ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยสายการบินเอมิเรตส์ EMIRATES เที่ยวบินที่ EK385(บริการอาหารบนเครื่อง ใช้เวลาบิน 6 ชั่วโมง 10 นาที)
04.45 น. เดินทางถึง สนามบินนานาชาติดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อแวะเปลี่ยนเครื่อง ( การต่อเครื่องที่ DXB ดูไบ ระยะเวลาการเชื่อมต่อ : 2 ชั่วโมง 45 นาที )
07.30 น. ออกเดินทางจากสนามบินนานาชาติดูไบ DXB สู่ สนามบินมุฮัมมัด ฟิฟท์ อินเตอร์เนชั่นแนล (คาซาบลังกา) CMN ประเทศโมร็อกโก โดยสายการบินเอมิเรตส์ EMIRATES เที่ยวบินที่ EK751
12.45 น. เดินทางถึง สนามบินมุฮัมมัด ฟิฟท์ อินเตอร์เนชั่นแนล (คาซาบลังกา) CMN (เวลาท้องถิ่นที่นี่ช้ากว่าประเทศไทย 6 ชั่วโมง)
นำท่านผ่านพิธีตรวจคนเข้าเมืองและรับกระเป๋าสัมภาระ จากนั้นเดินทางเข้าสู่ เมืองราบัต (RABAT) (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที ประมาณ 115 กม.) ซึ่งเป็นเมืองหลวงเมืองหลวงแห่งราชอาณาจักรมาในอดีต ตั้งแต่ปี ค.ศ.1956 และเป็นที่ตั้งของพระราชวังหลวง และทำเนียบทูตานุทูตจากต่างแดน เป็นเมืองสีขาวที่สะอาดและสวยงาม
นำท่านเยี่ยมชม สุสานของกษัตริย์โมฮัมเหม็ด ที่ 5 (Mausoleum of Mohammad V) สุสานตั้งอยู่บนแท่นยกสูงที่มุมตะวันออกเฉียงใต้ของเอสพลานาด เป็นโครงสร้างรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าทำด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กหุ้มด้วยหินอ่อนสีขาวด้านนอก ภายนอกถูกทำเครื่องหมายด้วยทุกแห่งของซุ้มมัวร์และหลังคาสีเขียวเสี้ยม ซุ้มโค้งยังมีรูปทรงหลายแฉกและพื้นผิวผนังด้านบนนั้นแกะสลักด้วยลวดลายเซ็บก้าแบบโมร็อกโกที่มีลักษณะเฉพาะข้างในห้องเก็บศพที่ถูกปกคลุมด้วยโดมไม้มะฮอกกานีที่มีกระจกสี ในขณะที่ผนังปูด้วยกระเบื้อง โดยมีทหารยามยืนเฝ้าสง่าทุกประตู และเปิดให้คนทุกชาติทุกศาสนาเข้าไปเคารพพระศพที่ฝังอยู่เบื้องล่าง ด้านหน้าของสุสาน คือสุเหร่าฮัสซันที่เริ่มสร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 2 แต่ไม่สำเร็จ และพังลงจนเหลือแต่เพียงเสาไว้ 365 ต้น ในบริเวณกว้าง 183x139 เมตร
นำท่านเยี่ยมชม หอคอยฮัสสัน หรือ สุเหร่าหลวง เป็นหนึ่งในสถาปัตยกรรมอันทะเยอทะยาน ของกษัตริย์โมฮัมเหม็ดที่ 5 โดยหอคอยมีสูงถึง 44 ม. (140 ฟุต) ก่อสร้างมัสยิดเริ่มขึ้นในปี ค. ศ.1191 ตั้งใจว่าหอคอยแห่งนี้จะกลายเป็นมัสยิดและสุเหร่าที่สูงที่สุดในโลก และเพื่อเฉลิมฉลองการรบชนะของอัลมันซูร์ แต่ทว่าเมื่ออัลมันซูร์เสียชีวิตในปี 1199 การก่อสร้างมัสยิดก็หยุดลง
นำท่านเยี่ยมชม ป้อมอูไดยะ( KASBAH DES UDESYAS ) ป้อมขนาดใหญ่สองชั้นที่ตั้งอยู่ริมมหาสมุทรแอตแลนติก ล้อมรอบด้วย กำแพงสูงใหญ่ด้านในเป็นเมดิน่าบ้านเรือนทาทาบด้วยสีฟ้า ที่สะอาดตาน่าเดินเล่น เหมือนศิลปะบนกำแพง
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ โรงแรมที่พัก
นำท่านเดินทางเข้าสู่ที่พัก โรงแรม OMONO RABAT MADINA HOTEL ระดับ 4 ดาวหรือเทียบเท่า
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำทุกท่านออกเดินทางสู่ เมืองเชฟชาอูน (CHEFCHAOUEN) (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง 10 นาที ประมาณ 248 กม.) เป็นเมืองโบราณยาวนานกว่า 538ปีที่ห้ามพลาด เป็นเมืองที่เหมือนเป็นฉากจากหนังภาพยนตร์หรือภาพในนิทาน สถานที่แห่งนี้เป็นเมืองที่มีผู้คนใช้ชีวิตกันอยู่จริงในประเทศโมร๊อกโก เอกลักษณ์เฉพาะตัวของเมืองนี้คือความแปลกตาของอาคารบ้านเรือนที่มีสีสันสดใสทาสีเป็นสีฟ้าและขาวทั้งเมือง ซึ่งตัดกับสีเขียวของป่าไม้เนื่องจากตัวเมืองอยู่ในหุบเขาริฟ (RIF MOUNTAIN) เกิดเป็นภาพที่ชวนให้นักท่องเที่ยวหลงใหลในความงดงามและเสน่ห์ของเมืองนี้ ความเป็นมิตรของผู้คนก็ทำให้เมืองเชฟชาอูน มีเสน่ห์อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ทุกท่านสามารถเดินชมบ้านเรือนได้ทั่วทั้งเมือง โดยที่สถาปัตยกรรมของเมืองยังคงเป็นแบบโมร๊อกโก ซุ้มประตูโค้งสามารถมองเห็นได้ทั่วทั้งเมือง และยังมีน้ำพุที่ปูด้วยกระเบื้องโมเสกแบบโมร๊อกโกให้เห็นได้ตามมุมต่าง ๆ ของเมือง
เที่ยง รับประทานอาหารเที่ยง ณ ร้านอาหารพื้นเมือง
อิสระให้ทุกท่านได้เดินชมถ่ายรูปหมู่บ้านสีฟ้า เพราะไม่ว่าจะถ่ายมุมไหนก็สวยไม่แพ้กัน สำรวจตรอกซอกซอยต่างๆที่เต็มไปด้วยร้านขายของที่ระลึก, เครื่องประดับ, พรม และเลือกชิมขนมพื้นเมือง ถั่ว ชีส กลับไปเป็นของฝากได้อย่างเพลิดเพลิน
นำท่านเดินทางต่อสู่ เมืองเฟซ (FES) (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง ประมาณ 197 กม.) เมืองหลวงเก่าอีกแห่งที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานใน ศ.ต. ที่ 8 ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ตั้งอยู่ระหว่างพื้นที่อุดมสมบูรณ์ที่ต่อจากเชิงเทือกเขารีฟ (Rif Mountain) ทางตอนเหนือกับเขตเทือกเขาแอตลาสตอนกลาง (Middle Atlas) มีแม่น้ำเฟส (River Fes) ไหลผ่านกลางเมืองเมืองเฟส เป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์เมืองหนึ่งของศาสนาอิสลามได้รับการขนานามว่า “มักกะฮ์แห่งตะวันตก”และ “เอเธนส์แห่งแอฟริกา”
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ โรงแรมที่พัก
นำท่านเดินทางเข้าสู่ที่พัก โรงแรม ROYAL MIRAGE FES HOTEL ระดับ 4 ดาวหรือเทียบเท่า
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านชม เมเดอร์ซา บูอิมาเนีย (Madrasa Bou Inania ) เมืองที่มีชื่อเสียงที่สุด Madrasa (โรงเรียนสำหรับการเรียนรู้ที่สูงขึ้นในศาสตร์อิสลาม) ก่อตั้งขึ้นโดย Marinid สุลต่านอาบูอัลฮะซันใน 1335-36 แต่เป็นชื่อในขณะนี้หลังจากลูกชายของเขาอาบู Inan) ซึ่งเป็นโรงเรียนสอนพระคัมภีร์ เป็นสถาปัตยกรรมแบบมัวร์ ที่สวยงามประณีต ในเขตเมืองเก่าได้แบ่งออกเป็น 100 ส่วน มีซอยกว่า 10,000 ซอย มีซอยแคบสุดคือ 50 ซ.ม. ถึงกว้าง 3 เมตร จะแบ่งเป็นย่านต่างๆ เช่น ย่านเครื่องใช้ทองเหลือง ทองแดง จะมีร้านค้าเล็กๆที่หน้าร้านจะมีหม้อ กะทะ อุปกรณ์เครื่องครัว ย่านขายพรมที่วางเรียงรายอย่างสวยงาม ย่านงานเครื่องจักสาน งานแกะสลักไม้ และย่านเครื่องเทศ (Souk El Attarine) ท่านจะได้สัมผัสทั้งรูป รสและกลิ่นในย่านเครื่องเทศที่มีการจัดเรียงสินค้าได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม ระหว่างที่เดินตามทางในเมดิน่า ท่านจะได้พบกับน้ำพุธรรมชาติ (Nejjarine Fountain) เพื่อให้ชาวมุสลิมให้ล้างหน้าล้างมือก่อนเข้าในบริเวณมัสยิด นอกจากนี้ที่ตามซอกมุมอาจเห็นภาพชายสูงอายุหนวดเครารุงรังนั่งแกะสลักไม้ชิ้นเล็กๆอยู่บริเวณตามทางเดินแคบๆในเขตเมืองเก่า บางทีเราก็ยังจะเห็นผู้หญิงที่นี่สวมเสื้อผ้าที่ปิดตั้งแต่หัวจนถึงเท้าจะเห็นได้ก็เฉพาะตาดำอันคมกริบเท่านั้น
แวะชม สถาปัตยกรรมของสุสานมูเลย์ อิสมาอิล (Mausoleum of Moulay Ismail) ซึ่งเป็นรัฐอิมพีเรียลที่คุณจะผ่านระหว่างการเดินทางในโมร็อกโก สุสานของศตวรรษที่ 18 เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นสถานที่พำนักของสุลต่านที่มีชื่อเสียงที่สุดของประเทศ เป็นสถานที่ทางจิตวิญญาณและเงียบสงบ เชื่อกันว่าจะนำพรมาสู่ผู้มาเยือน ที่เริ่มด้วยห้องทางเข้าเล็กๆ ที่ทาสีเหลืองบัตเตอร์คัพ ภายในห้องมีน้ำพุขนาดเล็กอยู่ตรงกลาง จากนั้นจะนำไปสู่สนามหญ้าแบบเปิดโล่งแห่งแรกที่เชื่อมต่อถึงกัน และลานสุดท้ายอยู่หน้าห้องหลุมฝังศพ มุสลิมเข้าได้เฉพาะห้องหลุมฝังศพเท่านั้น ห้องเฉลียงมีความสูงหลายชั้นโดยมีหน้าต่างหลายแถวอยู่ด้านบนซึ่งให้แสงแดดส่องเข้ามาอย่างสวยงาม
แวะชม (KAIRAOUINE MOSQUE) สถาปัตยกรรมและการตกแต่งอันน่าทึ่งที่สามารถพบได้ในทุกซอกทุกมุมของมัสยิด ถือได้ว่าเป็นสถาบันการศึกษาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก' มัสยิด Karaouine ในโมร็อกโก (หรือที่เรียกว่ามัสยิด Al-Qarawiyyin) ก่อตั้งขึ้นในปี 859 โดย Fatima Al-Fihri ลูกสาวของ Mohammed Al-Fihri ซึ่งเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวยในขณะนั้น ครอบครัวนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มผู้อพยพที่ตัดสินใจย้ายจาก Kairouan ในตูนิเซียไปยังเมือง Fes ในโมร็อกโกเมื่อต้นศตวรรษที่ 9 ทั้งฟาติมาและน้องสาวของเธอได้รับการศึกษาอย่างดีและได้รับมรดกเงินจำนวนมากจากพ่อของพวกเขาหลังจากที่เขาเสียชีวิต แทนที่จะใช้ทรัพย์สมบัติในชีวิตประจำวันของเธอเปลือง ฟาติมาให้คำมั่นว่าจะใช้จ่ายทั้งหมดเพื่อสร้างมัสยิดที่เหมาะสมกับชุมชนที่เธอรัก ด้วยสตรีที่มีการศึกษาดีและมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า ในไม่ช้า โครงการนี้จึงเติบโตจากการเป็นเพียงสถานที่สักการะเป็นสถานที่สำหรับการสอนศาสนาและการอภิปรายทางการเมือง ตลอดหลายทศวรรษ ที่ชาวโมร๊อกโกถือว่าเป็นแหล่งมาแสวงบุญที่ศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่น่าสนใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับมัสยิดคือมีการขยายไปทั่วราชวงศ์ต่อเนื่องจนสามารถได้รับความแตกต่างจากการเป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในแอฟริกาเหนือ ปัจจุบันสามารถรองรับผู้สักการะได้มากถึง 20,000 คน
จากนั้นนำท่านเดินชม ย่านเครื่องหนังและแวะชม บ่อฟอกและย้อมสีหนังแบบโบราณ ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเมืองเฟส ถูกอนุรักษ์โดยองค์กรยูเนสโก โรงฟอกหนังของเมืองเฟสจะประกอบไปด้วยอ่างหินจำนวนมากวางเรียงกันเป็นแถว แต่ละบ่อจะเต็มไปด้วยสีย้อมและของเหลวเติมเต็มทั่วทุกบ่อ ราวกับเป็นจานสีที่มีขนาดใหญ่ โดยหนังเหล่านี้ได้มาจากทั้ง วัว แกะ แพะ และอูฐ นำเข้าสู่กระบวนการกลายเป็นเครื่องหนังคุณภาพชั้นสูง เช่นกระเป๋า เสื้อผ้า รองเท้า โดยไม่มีการใช้เครื่องจักร นับเป็นภูมิปัญญาที่มีตั้งแต่ยุคกลาง อิสระช้อปปิ้งสินค้าท้องถิ่นมากมาย เมืองเฟซจึงเป็นสถานที่ที่ไม่ควรพลาดในการมาเยือนอย่างยิ่ง
เที่ยง รับประทานอาหารเที่ยง ณ ร้านอาหารท้องถิ่น (FES)
นำท่านเดินทางสู่ เมืองแมกเนส (MEKNES) เป็นเมืองหลวงโบราณในสมัยสุลต่าน มูเล อิสมาอิล (Mouley Ismail) แห่งราชวงศ์อะลาวิท (Alawite Dynasty) กษัตริย์จอมโหดผู้ชื่นชอบการทำสงครามใน ศ.ต. ที่ 17 ด้วยเมืองเมคเนสมีทำเลที่ตั้งโดยมีแม่น้ำไหลผ่านกลางเมือง เมืองแมกเนสจึงเป็นเมืองศูนย์กลางการผลิตมะกอก ไวน์ และพืชพรรณต่างๆ มีกำแพงเมืองล้อมรอบเมืองเก่าที่ยาวประมาณ 40 กม.
แวะชม เมืองโบราณโรมันโวลูบิลิส (Roman city of Volubilis) ที่ปัจจุบันเหลือแต่ซากปรักหักพังที่เกิดจากแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงในปี ค.ศ. 1755 แต่ยังคงเห็นได้ถึงร่องรอยความยิ่งใหญ่ของเมืองในจักรวรรดิโรมันในอดีต อดีตเมืองโบราณแห่งจักรวรรดิโรมันแห่งนี้มีความสำคัญยิ่งในยุคศตวรรษที่ 3 และล่มสลายถูกปล่อยเป็นเมืองร้างในศตวรรษที่ 11 เมืองโรมันโบราณแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.1997
นำท่านแวะถ่ายรูปประตู (BAB MANSOUR GATE) ประตู Bab Al Mansour ได้รับการตั้งชื่อตาม El-Mansour ซึ่งเป็นคริสเตียน คนทรยศที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม ประตูขนาด 16 เมตรได้รับการออกแบบให้เป็นประตูโค้งเกือกม้า และประตูไม้สูง 52 ฟุตตั้งอยู่นอกจตุรัส El-Hedim อันกว้างใหญ่ องค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมที่ตกแต่งด้วยอักษรอาหรับแปลว่า “ฉันคือประตูที่สวยที่สุดในโมร็อกโก ฉันเหมือนพระจันทร์บนท้องฟ้า *(โปรแกรมนี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากมีการปิดปรับปรุง)*
นำท่านแวะถ่ายภาพ พระราชวังเฟส (ROYAL PALACE OF FES) เป็นแลนด์มาร์กที่กำหนดจุดสังเกตของเมืองซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของราชวงศ์ ประวัติศาสตร์ และสถาปัตยกรรม ตั้งอยู่ในเขตราชวงศ์ที่สร้างขึ้นโดยราชวงศ์ Marinid ในศตวรรษที่ 13 ซีอี อาคารอันโอ่อ่าที่กว้างขวางประกอบด้วยลานขนาดใหญ่ ลานกว้าง และประตูที่วิจิตรงดงาม และการตกแต่งภายในที่แสดงถึงความสง่างามของโมร็อกโก สถานที่นี้ไม่เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมแต่สามารถถ่ายภาพภายนอกได้
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ โรงแรมที่พัก
นำท่านเดินทางเข้าสู่ที่พัก โรงแรม ROYAL MIRAGE FES HOTEL ระดับ 4 ดาวหรือเทียบเท่า
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านชม เมืองเฟซ (FES) เมืองแห่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง ซึ่งในปี ค.ศ.1981 องค์การยูเนสโกได้ประกาศให้เขตเมืองเก่าของเฟสเป็นเมืองมรดกโลกทางประวัติศาสตร์ ตอนนี้ทางรัฐบาลโมร๊อกโกมีการดูและเมืองเฟสโดยเฉพาะเขตเมืองเก่าซึ่งเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมและอารยธรรมในยุคเก่าของโมร็อกโก นำท่านชมจุดชมวิวเมื่อมองลงมาจะเห็นเขตเมืองเก่าทั้งเมือง ต่อด้วยชมประตูพระราชวังหลวงแห่งเฟส พระราชวังที่มีสถาปัตยกรรมที่สวยงามและสง่างามอย่างมาก เป็นเอกลักษณ์แห่งราชวงศ์โมร๊อกโก จากนั้นนำทุกท่านเข้าสู่เมืองเก่า ซึ่งเสมือนท่านย้อนยุคไปสู่บรรยากาศ1200ปีที่แล้ว เพราะเมืองนี้ยังมีวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ในลักษณะดั้งเดิมหลายศตวรรษ
นำท่านเดินทางผ่าน เมืองอิเฟรน (IFRANE) หรือที่เรียกว่า สวิตเซอร์แลนด์น้อย เป็นโอเอซิสแห่งความสดชื่นและความเขียวขจีเป็นพื้นที่แห่งธรรมชาติ ความสมบูรณ์ ซึ่งเป็นเมืองตากอากาศของเศรษฐีโมร็อคโคและยุโรป ในช่วงปี ค.ศ. 1930 เมืองนี้ยังได้ชื่อว่า ‘เจนีวาแห่งโมร็อคโค’ มีทะเลสาบสวยงาม และมีรูปปั้นสิงโตเป็นสัญลักษณ์อยุ่ใจกลางเมืองในสวนสาธารณะ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนสิงโตตัวสุดท้ายที่ถูกล่าจนหมดจากเทือกเขาแห่งนี้
เที่ยง รับประทานอาหารเที่ยง ภัตตาคารพื้นเมือง
จากนั้นนำท่านเดินทางต่อสู่ เมืองมิเดลท์ (Midelt) เมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาแอตลาส เปนศูนย์กลางการค้า การทำเหมืองแร่ของ โมร็อกโก เป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนระดับความสูงที่ 1,508 เมตร (4,948 ฟุต) ทำให้เมืองมิเดลท์ เป็นหนึ่งในเมืองใหญ่ที่สูงที่สุดในโมร็อกโกอีกด้วย
นำท่านสู่ จุดพักรถ เพื่อเปลี่ยนรถจากรถบัสเป็นรถ 4WD / รถ 1 คันจะนั่งได้ 4 – 5 ท่าน
*** กรุณานำสัมภาระแยกใส่กระเป๋าใบเล็กสำหรับที่พักโรงแรมบริเวณทะเลทราย ที่
กระเป๋าใบใหญ่จะเก็บไว้ที่บัสใหญ่ และกระเป๋าใบเล็กจะย้ายมาที่ท้ายรถ 4WD เพื่อความสะดวก
(ใช้ระยะเวลาเดินทางประมาณ 20 – 30 นาที เข้าสู่ที่พักบริเวณทะเลทราย )
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ โรงแรมที่พัก
นำท่านเดินทางเข้าสู่ที่พัก โรงแรม YASMINA MERZOUGA HOTEL ระดับ 4 ดาวหรือเทียบเท่า
04.00 น. นำท่านขี่อูฐ ชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ทะเลทรายซาฮาร่า ให้ทุกท่านได้ดื่มด่ำกับภาพพระอาทิตย์ดวงโตๆ ค่อยๆ โผล่ขึ้นจากสันทรายยามเช้า สาดส่องแสงสีทองปลุกทุกชีวิตให้ตื่นจากนิทรา เป็นภาพแห่งความประทับใจ
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
หลังจากนั้นนำทุกท่าน ขึ้นรถ 4WD เพื่อกลับออกจากที่พักกลางทะเลทราย กลับขึ้นรถบัสเพื่อเที่ยวในสถานที่ต่อไปนำท่านเดินทางสู่ โอเอซิส TINGHIR ซึ่งเป็นชุมชนที่เกาะกลุ่มอยู่รวมกัน ท่ามกลางความแห้งแล้งในเขตทะเลทราย ที่ยังมีความชุ่มชื้น มีตาน้ำ หรือ ลำธารน้ำ ซึ่งใช้ในการปลูก ต้นปาล์ม ต้นอัลมอนด์
นําท่านเดินทางสู่ ทอดร้าจอร์จ TODRA GORGES ชมความงามของช่องเขาที่ซ่อนตัวอยูในโอเอซิส ลําธารที่ไหลผ่านช่องเขากับหน้าผาที่สูงชันแปลกตา เป็นแหล่งปีนหน้าผาสำหรับนักเสี่ยงภัยทั้งหลาย ผ่านหุบเขาดาเดส DADES VALLEY AND GORGE แนวเขาและธรรมชาติของหุบเขาที่ถูกกรัดกร่อน จากแรงลมทําให้หุบเขากลายเป็นรูปร่างต่าง ๆ สวยงาม
ผ่านหุบเขากุหลาบ ROSE VALLEY หุบเขาแห่งดอกกุหลาบซึ่งทอดตัวยาวหลายสิบกิโลเมตรตามริมฝั่ง เป็นหนึ่งในภูมิประเทศที่ได้รับความนิยมมากที่สุดทางตอนใต้ของโมร็อกโก เป็นเส้นทางที่ต้องผ่านชมและมีความสวยงามมาก ซึ่งในเดือน เมษายน – พฤษภาคม จะเป็นช่วงเทศกาลโมร็อกโกหุบเขากุหลาบ Rose Valley Morocco Festival การเฉลิมฉลองการเก็บเกี่ยวดอกกุหลาบในเมืองเล็กๆ ของ Kelaat M’gouna ตั้งอยู่ในหุบเขา Dades ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อ "หุบเขาแห่งดอกกุหลาบ" ซึ่งเป็นช่วงที่ดอกกุหลาบผลิบานและพ่นน้ำหอมออกมาผสมกับกลิ่นของต้นอัลมอนด์ ทำให้เป็นสวรรค์น้อยๆของนักเดินทางชาวทะเลทรายมาตั้งแต่สมัยโบราณกาล
เที่ยง รับประทานอาหารเที่ยง ณ ภัตตาคาพื้นเมือง
จากนั้นเดินทางต่อสู่ เมืองวอซาเซท OUARZAZATE) (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง ประมาณ 173กม.) ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ ในปี ค.ศ. 1928 ฝรั่งเศสตั้งกองกำลังทหารและพัฒนาที่นี้ให้เป็นศูนย์กลางการบริหาร ปัจจุบันเมืองวอซาเซทเป็นเมืองถูกส่งเสริมให้เป็นเมืองท่องเที่ยว และมีการพัฒนาพื้นที่ในทะเลทรายในการทํากิจกรรมต่างๆ ที่แวดล้อมไปด้วยสตูดิโอสำหรับการถ่ายทำภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเป็น เรื่อง CLEO PATTRA, THE MUMMY, KINGDOM OF HEAVEN และอีกมากมายที่มักจะใช้เมืองแห่งนี้เป็นฉากสำหรับถ่ายทำในภาพยนตร์ ทั้งนี้เพราะลักษณะภูมิประเทศที่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์แบบชนเผ่าเบอร์เบอร์ ซึ่งเป็นชนเผ่าดั้งเดิมของชาวโมร๊อกโก วอซาเซท อาจกล่าวได้วาเป็นจุดมุ่งหมายของนักท่องเที่ยวที่มองหาความแตกต่าง และการผจญภัยที่หาไม่ได้จากที่ไหน วอซาเซทเป็นเมืองที่ สำคัญที่สุดของทางตอนใต้ และที่นี่ยังเป็นทางเชื่อมระหว่างเหนือกับใต้ และตะวันออกกับตะวันตก
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ โรงแรมที่พัก
นำท่านเดินทางเข้าสู่ที่พัก โรงแรม KARAM HOTEL ระดับ 4 ดาวหรือเทียบเท่า
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
เดินทางสู่ เมืองไอท์ เบนฮาดดู (AIT BENHADDOU) ชมเมืองไอท์ เบนฮาดดู เป็นเมืองที่มีอาคารต่างๆ สร้างจากดิน เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงในเรื่องการหารายได้จากกองถ่ายทำภาพยนตร์กว่า 20 เรื่อง โดยเฉพาะป้อมดินที่งดงามและมีความใหญ่ที่สุดในภาคใต้ของโมรอคโค คือ ป้อมไอท์ เบนฮาดดู (KASBASH OF AIT BEB HADOU) เป็นป้อมดินซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางสวนอัลมอนด์ เป็นปราสาทที่ใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์หลายเรื่องที่โด่งดังอาทิ Lawrance of Arabia , Jesus of Nazareth และ Gladiator
จากนั้นนำทุกท่านเดินทางมุ่งสู่ เมืองมาราเกช (MARRAKECH) เป็นเมืองแห่งทะเลทรายซาฮาร่า ทะเลทรายในทวีปแอฟริกาที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลก และเป็นทะเลทรายที่ร้อนที่สุดของโลกอีกด้วย ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญที่ตั้งอยู่เชิงเขาแอตลาส ในอดีตเมืองโอเอซิสแห่งนี้เป็นที่พักของกองคาราวานอูฐที่มาจากทางตอนใต้ของโมรอคโค ถือเป็นเมืองชุมทางของพ่อค้าต่างๆ นอกจากนี้ยังเป็นอดีตเมืองหลวงในช่วงสมัยราชวงศ์อัลโมราวิดช่วง ศ.ต.ที่ 11 ปัจจุบันเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุด สภาพบ้านเมืองที่เราเห็นได้คือ สองข้างทางแวดล้อมด้วยบ้านเรือนที่ถูกฉาบด้วยปูนสีส้มๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลกำหนดไว้ แต่คนท้องถิ่นจะเรียกว่า PINK CITY หรือ เมืองสีชมพู อาจกล่าวได้ว่ามาราเกชเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง จึงได้สมญานามว่าเป็น A CITY OF DRAMA นั่นคือมีความสวยงามดั่งเมืองในละครที่ไม่น่าเป็นชีวิตจริงได้
เที่ยง รับประทานอาหารเที่ยง ณ ร้านอาหาร
นำท่านชม MAJORELLE GARDEN หรือ JARDIN MAJORELLE & MUSEUM OF ISLAMICART ว่ากันว่าเป็นสวรรค์น้อยๆ ย่านเมืองมาราเกช สวนแห่งนี้เป็นที่รวบรวมพันธุ์ไม้นานาจากทั่วโลก โดยเฉพาะต้นกระบองเพชรนับพันต้น หลากหลายสายพันธุ์ มีสวนบัว และป่าไม่ดูร่มรื่น กับบรรดากระถางดินที่ศิลปินเจ้าของเดิม Jacques Majorelle ที่สรรหาสีมาป้ายทาทับ ตกแต่งทำให้สวนแห่งนี้ดูโดดเด่นสะดุดตาขึ้นมาอย่างน่าเหลือเชื่อ สวนแห่งนี้เดิมเป็นบ้านของศิลปินชาวฝรั่งเศส เขาสร้างบ้าน และสวนเอาไว้อยู่เอง พร้อม
สร้างงานศิลปะของเขาต่อมาสถานที่แห่งนี้ได้ถูกใช้เป็นพิพิธภัณฑ์ รวบรวมเอาศิลปะของโมรอคโคไว้ และมีมุมแสดงงานศิลปะของเจ้าของเดิมเอาไว้ด้วย
นำทุกท่านชม จัตุรัสกลางเมือง (DJEMAA FNAA SQUARE) ที่มีขนาดใหญ่ รายล้อมไปด้วยอาคาร ร้านค้า ตลาด ทั้ง 4 ด้าน เดินเล่นถ่ายรูปความมีชีวิตชีวาที่มีสีสันและกลิ่นอายแบบโมรอคโคขนานแท้ พร้อมจับจ่ายหาซื้อของฝาก ของที่ระลึกพื้นเมืองต่างๆ รายล้อมไปด้วยอาคาร ร้านค้า ตลาดทั้ง 4 ด้าน
นำทุกท่านชม มัสยิด คูตูเบีย (KOUTOUBIA MOSQUE) ซึ่งเป็นมัสยิดใหญ่เก่าแก่ที่สุดในเมืองไม่ว่าจะเดินไปแห่งใดในตัวเมืองก็จะเห็นมัสยิดนี้ได้ จากหอวังที่มีความสูง 226 ฟิต (70 เมตร) ไม่ว่าอยู่ที่ไหนในมาราเกซ เราก็จะมองเห็นสุเหร่าแห่งนี้ อิสระให้ทางเก็บภาพเมืองมาราเกซ เมืองที่ขึ้นชื่อว่ามีเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวติดอันดับโลก
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ โรงแรมที่พัก
นำท่านเดินทางเข้าสู่ที่พัก โรงแรม PALM PLAZA OR ADAM PARK ระดับ 4 ดาวหรือเทียบเท่า
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านเดินทางสู่ เขตเมืองเก่า หรือที่เรียกว่า เมดิน่า ซึ่งมีกำแพงเมืองล้อมรอบ นำชมสุสานแห่งราชวงศ์ซาเดียน (SAADLAN TOMBS) ที่แห่งนี้ถูกทิ้งร้างมากกว่า 2 ศตวรรษ ภายหลังได้รับการบูรณะ และเปิดให้เข้าชมความงดงามในแบบฉบับของศิลปะแบบมัวริส(MOORISH) แท้ๆ ความวิจิตรอลังการของห้องโถงภายใน เสาคอลัมน์หินอ่อนสีสวย ลวดลายงานปูนที่ประดับประดาบนผนังและเพดาน สวนสวยภายนอกที่สร้างขึ้นใหม่ โดยเขาว่า ทำตามแบบ Allah's Paradise
จากนั้นนำท่าน ชมพระราชวังบาเฮีย BAHIA PALACE พระราชวังของท่านมหาอำมาตย์ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนยุวกษัตริย์ ในอดีต สร้างขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ซึ่งตั้งใจจะให้เป็นพระราชวังที่ยิ่งใหญ่และหรูหราที่สุดในสมัยนั้น ภายในพระราชวังบาเฮียมีห้องทั้งหมดราว 150 ห้อง ตกแต่งด้วยปูนปั้นแกะสลักและการวาดลวดลายบนไม้และประดับประดาด้วยโมเสกที่มีลวดลายละเอียดอ่อนช้อยสวยงาม
เที่ยง รับประทานอาหารเที่ยง ณ ภัตตาคารพื้นเมือง
จากนั้นนำท่านเดินทางเข้าสู่ เมืองคาซาบลังก้า เมืองท่าหลัก และเมืองที่ใหญ่ที่สุดของโมร๊อกโก คาซาบลังก้า มีความหมายในภาษาสเปนว่า “บ้านสีขาว” ปัจจุบันเมืองแห่งนี้ เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศ
จากนั้นให้อิสระทุกท่านช๊อปปิ้ง โมร็อกโก มอลล์ ห้างครบวงจรขนาดใหญ่และใหม่แห่งหนึ่งใน CASABLANCA มีโซนที่อยู่ภายใน และโซนที่ติดหน้าต่างกระจกสูง มองไปชมวิวทะเล ยามพระอาทิตย์ตกดินได้ดีที่สุด
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ โรงแรมที่พัก
นำท่านเดินทางเข้าสู่ที่พัก โรงแรม NEW HOTEL PISCINE ระดับ 4 ดาวหรือเทียบเท่า
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำทุกท่านเข้าชม สุเหร่าแห่งกษัตริย์ฮัสซันที่ 2 (HASSAN ll MOSQUE) สุเหร่าแห่งกษัตริย์ฮัสซันที่ 2 ถือว่าเป็นมัสยิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโมร็อกโก มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 13 ของมัสยิดโลก สถาปัตยกรรมของมัสยิดแห่งนี้อาจไม่ได้เก่าแก่มากนัก เพราะพึ่งเสร็จมาเมื่อปี 1993 ระยะเวลาในการก่อสร้างทั้งหมด 6 ปี มัสยิดแห่งนี้ได้รับการออกแบบโดยมิเชล แปงโช สถาปนิกชาวฝรั่งเศส ใช้ศิลปะสไตล์โมร็อกโกมีการใช้เทคโนโลยีสุดทันสมัยผสมผสานเข้าไปด้วย มีหอคอยสูง 120 เมตร สามารถจุคนได้สูงถึง 25,000 คน วัตถุประสงค์หลักสำหรับการสร้างมัสยิดแห่งนี้ก็คือวาระเฉลิมฉลองพระชนม์ครบ 60 พรรษา ขององค์กษัตริย์ฮัสซันที่ 2 แห่งโมร็อกโกและใช้เป็นสถานที่สำคัญในการต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง **(รวมค่าเข้าแล้ว)**
นำท่านเดินทางเข้าสู่สนามบิน มุฮัมมัด ฟิฟท์ อินเตอร์เนชั่นแนล (คาซาบลังกา) ประเทศโมร็อคโค เพื่อทำการเช็คอินสัมภาระ
14.45 น. เหินฟ้าสู่ ดูไบ(DXB) ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยสายการบินเอมิเรตส์ EMIRATES เที่ยวบินที่ EK752
01.15 น. เดินทางถึง สนามบินนานาชาติดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อแวะเปลี่ยนเครื่อง
( การต่อเครื่องที่ DXB ดูไบ ระยะเวลาการเชื่อมต่อ : 2 ชั่วโมง 30 นาที )
03.45 น. ออกเดินทางจากสนามบินนานาชาติดูไบ DXB สู่ สนามบินสุวรรณภูมิ BKK ประเทศไทย
ค่าตั๋วเครื่องบินไป- กลับ ชั้นประหยัด โดยสายการบินเอมิเรตส์ EMIRATES (EK)
( กรณีเดินทางเป็นตั๋วกรุ๊ป หากออกตั๋วแล้วไม่สามารถขอคืนเงินได้และไม่สามารถเปลี่ยนวันเดินทางได้ )
ค่าที่พักห้องละ 2 ท่าน เป็น TWIN ROOM หรือ TRP ROOM ในโรงแรม ตามที่ระบุในรายการหรือระดับเดียวกัน รวมทั้งสิ้น 7 คืน
ค่าพาหนะ รถรับ-ส่ง ตลอดการเดินทาง พร้อมคนขับรถที่ชำนาญเส้นทาง
ค่าอาหารทุกมื้อที่ระบุตามรายการ
ค่าบัตรเข้าชมสถานที่และการแสดงทุกแห่งที่ระบุตามรายการ
ค่าธรรมเนียมวีซ่าออนไลน์ (ปรับใหม่ ณ วันที่ 1 ส.ค.65) Embassy of the Kingdom of Morocco / แบบ SINGLE ENTRY
ค่าบริการนำทัวร์โดยมัคคุเทศก์ท้องถิ่นและหัวหน้าทัวร์ผู้มีประสบการณ์
ค่าน้ำดื่มระหว่างเดินทาง 1 ขวด ต่อท่าน/วัน
ค่าประกันอุบัติเหตุในการเดินทางวงเงิน 1,000,000 บาท และค่ารักษาพยาบาล 500,000 บาท
( หากต้องการซื้อประกันที่ครอบคลุมที่มากขึ้น เช่น ไฟล์ดีเลย์ การยกเลิกการเดินทาง การลดวันจำนวนวันเดินทาง การกู้ภัยฉุกเฉิน สามารถสอบถามราคาที่เจ้าหน้าที่ )
ค่าจัดทำหนังสือเดินทาง
ภาษีต่าง ๆ เช่น ภาษี 7% ภาษีหัก ณ ที่จ่าย 3% ฯลฯ
ค่าใช้จ่ายส่วนตัวอื่นๆ เช่น ค่าโทรศัพท์, ค่าซักรีด, มินิบาร์และทีวีช่องพิเศษ ฯลฯ และที่ไม่ได้ระบุไว้ในรายการ
ค่าบริการยกกระเป๋าในโรงแรม ซึ่งท่านจะต้องดูแลกระเป๋าและทรัพย์สินด้วยตัวท่านเอง
ค่าใช้จ่ายส่วนตัวอื่นๆ เช่น ค่าโทรศัพท์, ค่าซักรีด, มินิบาร์และทีวีช่องพิเศษ ฯลฯ ที่ไม่ได้ระบุไว้ในรายการ
ค่าอาหารและเครื่องดื่มสั่งพิเศษ นอกเหนือรายการและน้ำดื่มมนอกเหนือจากที่แจ้งไว้ ท่านละ 1 ขวด/วัน
ค่าทิปมัคคุเทศก์ พนักงานขับรถ ในประเทศโมรอคโก และ หัวหน้าทัวร์จากเมืองไทย (เป็นอัตราปกติตามหลักสากลของการท่องเที่ยว )
รวมค่าทิป 100 USD/ท่าน
-ค่าทิปมัคคุเทศก์ท้องถิ่นโมร็อกโก 8 วัน
-พนักงานขับรถในประเทศโมร็อกโก 8 วัน
-ค่าทิปค่าทิปหัวหน้าทัวร์ 10 วัน
บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ยกเลิกการเดินทางก่อนล่วงหน้า 15 วัน ในกรณีที่ไม่สามารถทำกรุ๊ปได้อย่างน้อย 15 ท่าน ซึ่งในกรณีนี้ทางบริษัทฯ ยินดีคืนเงินให้ทั้งหมด หรือจัดหาคณะทัวร์อื่นให้ถ้าต้องการ
บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนแปลงรายละเอียดบางประการในทัวร์นี้ เมื่อเกิดเหตุจำเป็นสุดวิสัย จนไม่อาจแก้ไขได้และจะไม่รับผิดชอบใดๆ ในกรณีที่สูญหาย สูญเสียหรือได้รับบาดเจ็บที่นอกเหนือความรับผิดชอบของหัวหน้าทัวร์และเหตุสุดวิสัยบางประการ เช่น การนัดหยุดงาน ภัยธรรมชาติ การจลาจล ต่างๆ
บริษัทฯ ไม่รับผิดชอบค่าเสียหายในเหตุการณ์ที่เกิดจากสายการบิน ภัยธรรมชาติ ปฏิวัติ และอื่น ๆ ที่นอกเหนือการควบคุมของทางบริษัทฯ หรือ ค่าใช้จ่ายเพิ่มที่เกิดขึ้นทางตรง หรือทางอ้อม เช่น การเจ็บป่วย การถูกทำร้าย การสูญหาย จากสายการบินเมื่อเที่ยวบิน “ดีเลย์” หรือล่าช้า? หรือ เหตุสุดวิสัย หรืออุบัติเหตุต่าง ๆ
ราคานี้คิดตามราคาบัตรโดยสารเครื่องบิน ณ ปัจจุบัน หากมีการปรับราคาบัตรโดยสารสูงขึ้น ตามอัตราค่าน้ำมัน หรือ
ค่าเงินแลกเปลี่ยน ทางบริษัท สงวนสิทธิ์ที่จะปรับราคาตั๋ว ตามสถานการณ์ดังกล่าวและแจ้งให้ท่านทราบ
เนื่องจากรายการทัวร์นี้เป็นแบบเหมาจ่ายเบ็ดเสร็จ หากท่านสละสิทธิ์การใช้บริการใดๆ ตามรายการ หรือ ถูกปฏิเสธการเข้าประเทศไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม ทางบริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ไม่คืนเงินในทุกกรณี
กรณีผู้เดินทางไม่สามารถ เข้า-ออกเมืองได้เนื่องจากปลอมแปลง หรือการห้ามของเจ้าหน้าที่ ไม่ว่าเหตุผลใดๆ ทางบริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการ ไม่คืนค่าทัวร์ทั้งหมด
หากลูกค้าท่านใด ยื่นวีซ่าแล้วไม่ได้รับการอนุมัติ ลูกค้าต้องชำระค่าวีซ่าตามที่สถานฑูตฯ เรียกเก็บ
ในกรณีที่ท่านผู้โดยสารต้องการใช้พาสปอร์ตเล่มสีน้ำเงิน (ราชการ) ในการเดินทาง บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ไม่รับผิดชอบใดๆในการที่ท่านอาจจะถูกปฏิเสธมิให้เข้าเมือง เพราะโดยปกติในการท่องเที่ยวจะใช้เล่มสีเลือดหมู
การขอที่นั่ง Long Leg โดยปกติจะอยู่บริเวณทางออกประตูฉุกเฉิน และผู้ที่จะนั่งต้องมีคุณสมบัติตรงตามที่สายการบินกำหนด เช่น ต้องเป็นผู้ที่มีร่างกายแข็งแรง และช่วยเหลือผู้อื่นได้อย่างรวดเร็วในกรณีที่เครื่องบินมีปัญหา เช่น สามารถเปิดประตูฉุกเฉินได้ (โดยน้ำหนักประตูนั้นอยู่ที่ประมาณ 20 กิโลกรัม) ไม่ใช่ผู้ที่มีปัญหาทางด้านสุขภาพและร่างกาย และอำนาจในการให้ที่นั่ง Long leg ขึ้นอยู่กับทางเจ้าหน้าที่เช็คอินสายการบิน ตอนเวลาที่เช็คอินเท่านั้น
ภาพที่ใช้ในการประกอบการทำโปรแกรมใช้เพื่อความเข้าใจในมุมมองสถานที่ท่องเที่ยว ภาพใช้เพื่อการโฆษณาเท่านั้น
969/376 ถนนรังสิต-นครนายก ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี 12130